การบริหารภาษี

สำหรับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น มนุษย์เงินเดือนเต็มตัวดูจะไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะบริษัท
ยื่นภาษีให้อยู่แล้ว แต่กลุ่มที่ทำ งานกินเงินเดือนและทำธุรกิจหรือมีรายได้ทางอื่น ๆ หลายทางแล้วต้องยื่นภาษีเองก็คงวุ่นวายมาก
น้อยต่างกันตามปริมาณ เงินได้ สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการขนาดเล็กจริง ๆ ซึ่งในแต่ละปีมีกิจการเกิด
ใหม่จำนวนมาก บางคนจากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นเถ้าแก่เองโดยไม่เคยยื่นเสียภาษีเองมาก่อน จะเริ่มต้นอย่างไร มาต้องยื่นเสีย
ภาษีได้หรือไม่ คำถามนี้คงอยู่ในใจเจ้าของกิจการมือใหม่หลายท่าน

คงต้องขอตอบข้อสงสัยของผู้ประกอบการก่อนว่า ต้องยื่นภาษีหรือไม่ บางคนเข้าใจว่าเวลารับของเข้ามาขายบริษัท
ผู้ขายบวกภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้วหรือผู้ประกอบการบางรายขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็น บริษัทเวลารับเงินก็จะโดนหักภาษี
ณ ที่จ่ายไปจากวงเงินที่ได้รับและเข้าใจว่าตัวเองเสียภาษีไปแล้วไปแล้วเลยไม่ต้องยื่นเสียภาษีอีก ซึ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดหรือ
บางท่านแกล้งเข้าใจผิด

สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน โดยทำธุรกิจในรูปบุคคลธรรมดา รายได้จากการ
ทำธุรกิจของท่านจะต้องนำมายื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยใช้แบบ ภงด.90 ซึ่งต่างจากจากผู้มีเงินได้ในรูปแบบเงินเดือน
อย่างเดียวจะใช้แบบ ภงด.91ตามที่คนกินเงินเดือนทั่ว ๆ ไป ยื่นกันอยู่ พวกลูกผสมคือ กินเงินเดือนประจำจากบริษัทด้วยและเป็น
เจ้าของกิจการด้วยจะต้องใช้ ภงด.90 ยื่นโดยนำเงินเดือนประจำมายื่นรวมด้วยครับ


ในการเสียภาษีนั้น เราต้องเสียเท่าไร นี่เป็นประเด็นที่หลายคนสงสัย คำตอบก็คือเสียเท่ากับรายได้ที่ได้รับทั้งปี
หักค่าใช้จ่ายและถึงอัตราสูงสุด 37% จากรายได้สุทธิ โดยที่รายได้สุทธิ ยิ่งมากท่านก็ยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราสูงขึ้น


อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2547

เงินได้สุทธิตั้งแต่ (บาท)

อัตราภาษี

-

ถึง

100,000.00

ยกเว้น

100,001.00

ถึง

500,000.00

10%

500,001.00

ถึง

1,000,000.00

20%

1,000,001.00

ถึง

4,000,000.00

30%

4,000,001.00

ขึ้นไป

37%

รายได้สุทธิต่อปี (นับจาก 1 ม.ค. 31 ธ.ค.) ตั้งแต่ 1- 100,000 บาทแรก รัฐบาลจะไม่เก็บภาษี (เข้าข่ายเป็น
คนจน ทะเบียนคน จนเสียด้วยซ้ำ) ในอัตราส่วน100,001 บาทถัดมาคือเงินได้ตั้งแต่ 100,001 500,000 บาทถัดมาเสีย10%
ของเงินได้โดยไม่ต้องนำ 100,000 แรกมาคำนวณ

สำหรับขั้นต่อมา 500,001- 1,000,000 บาทจะต้องเสีย 20% ของรายได้ ขั้น 1,000,001 4,000,000 บาทเสีย
30% ส่วนที่กิน 4 ล้านบาทขึ้นไปเสีย 37% ซึ่งอัตราภาษีนี้ ผู้มีรายได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาจะต้องยื่นเสียภาษีไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง
พนักงานบริษัท หรือเจ้าของกิจการเพียงแต่ว่ารายได้จากการทำธุรกิจสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ก่อน ส่วนที่เหลือค่อยเป็นรายได้
สุทธิ แต่คำว่าหักค่าใช้จ่ายนี้
บางท่านสงสัยว่าหักอย่างไรหักได้เท่าไรต้องมีหลักฐานอะไรมาหักภษี

หลักฐานก็คือท่านมีสิทธิเลือกว่าจะหักภาษีแบบเหมาหรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง ตามตารางการหักค่าใช้จ่ายของสรร
พากร ซึ่งขอดูได้จากแบบ ภงด.90 ที่สรรพากรทุกแห่ง ขอแนะนำว่าเพื่อให้สะดวกในการยื่นภาษี จ่ายเหมาดีกว่า เช่นถ้าท่าน
ทำธุรกิจร้านกิ๊ปซอป ก็จะต้องหักค่าใช้จ่ายด้ 80% ของรายได้ เหลือแค่ 20% เป็นกำไรสุทธิที่ต้องมาเป็นฐานคำนวณภาษีถ้า
ท่าทำธุรกิจ ขายอาหาร เครื่องดื่ม ก็จะหักค่าเหมาจ่ายได้ 70% เป็นต้น

ปกติแล้ว ธุรกิจขนาดย่อมถ้าเป็นประชาชนทั่วไป จะไม่ค่อยแจ้งรายได้จริงกับสรรพากร เพราะเมื่อขายสินค้าลูกค้าก็
จะไม่ได้ขอใบเสร็จ รับเงินทำให้สรรพากรตรวจสอบภาษียาก แต่ธุรกิจประเภทขายสินค้าหรือบริการให้กับบริษัท เช่น รับเหมาจัด
อาหารให้งานเลี้ยงงานประชุมของ บริษัท ขายกระเช้าปีใหม่ให้บริษัท โดยทางบริษัทที่เป็นลูกค้าหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ โดยขอสำ
เนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่านในฐานะผู้รับ เงินไว้ ทางบริษัทเขาต้องรวบรวมยื่นเสียภาษีกับสรรพากร ดังนั้นเราต้องนำ
เอกสารใบรับรองการหักภาษีกับสรรพากรที่บริษัทลูกค้าออก ให้มายื่นเสียภาษีประจำปีของเราด้วย
ถ้าไม่เสียก็ถือว่าหลบ
ภาษี ถ้าสรรพากรตรวจพบ ซึ่งส่วนหนึ่งสรรพากรตรวจได้จากเอกสารที่บริษัท ลูกค้าของเรายื่นเสียภาษีไว้ ถ้าตรวจเจอว่าเราไม่
ได้ยื่นหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย เราก็โดนปรับและต้องเสียภาษีย้อนหลัง

การเสียภาษีให้ถูกต้องนั้นนอกจากเป็นหน้าที่ที่ควรทำแล้ว จะช่วยผู้ประกอบการขนาดย่อมให้มองเห็นภาพรายรับ-ราย
จ่ายต่อปีของตนได้อย่างชัดเจนขึ้นและยังมีหลักฐานรายรับ-รายจ่ายที่ยื่นไว้กับสรรพากรเป็นหลักฐานข้อมูลที่นำไปให้สถาบัน การ
เงินพิจารณาประกอบการขอสินเชื่อได้ จะว่าไปแล้วธุรกิจขนาดเล็กทำในรูปบุคคลธรรมดา ถ้าลองคำนวณภาษีที่ต้องเสียได้ ผมเชื่อ
ว่าส่วนใหญ่น่าจะเสียในอัตราประมาณ 10 % ของรายได้สุทธิ ซึ่งไม่ได้มากมายหนักเมื่อเทียบกับกำไรที่ได้รับและไม่ต้องเสี่ยงกับ
การโดนปรับ หรือ ตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ซึ่งสำหรับกรมสรรพากรยุคนี้นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบต่าง ๆ น่าจะทำได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก


สำหรับกิจการที่มีรายได้สุทธิสูงกว่าปีละ 4 ล้าน จนต้องเสียภาษีในอัตราปีละ 37%แล้วละก็ถ้าท่านทำถูกต้อง จดทะเบียน
เป็นบริษัทดีกว่า เพราะจะเสียภาษีจากรายได้สุทธิในอัตราที่ต่ำกว่าและการหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินธุรกิจจะทำได้ง่ายกว่า
และมากกว่าการขอยื่นในรูปบุคคลธรรมดา

นอกจากนี้การทำธุรกิจในรูปบริษัท จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของกิจการดูดี น่าเชื่อถือสำหรับลูกค้าและสถาบันการเงิน (หาก
ต้องการขอกู้) มากกว่าการทำธุรกิจในลักษณะบุคคลธรรมดาด้วยครับ

** คัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือ " Small but work 2 " โดย รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล ISBN 974-92356-8-1