ทฤษฎีเกม (Game Theory) ใช้เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ และอธิบายปัญหาการขายตัดราคาได้

ศักดา ปัญจพรผล แปลและเรียบเรียง

ทฤษฎีเกม (Game Theory) เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่อธิบายและกล่าวถึงปัญหาทางสังคม เกมทั่วๆไปมักจะสะท้อนหรือ
บอกให้ทราบถึงลักษณะที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง โดย เฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแข่งขันหรือการร่วมมือกัน เกมเหล่า
นี้จะแนะนำกลยุทธ์ที่ใช้ในการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเราอาจสามารถเข้าใจกลยุทธ์ของผู้เล่นเกมในแต่ละเกม เราอาจ
สามารถทำนายได้ว่าประชาชน กลุ่มการเมือง หรือรัฐต่างๆจะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่กำหนดให้

โดยทั่วไปขณะที่คนเรามุ่งจะชนะเกมการแข่งขันเขาจะพยายาม ชนะ หรือบรรลุผลประโยชน์หรือเป้าหมายในการแข่งขัน
อย่างไรก็ตามทั้งในการเล่นเกมและในความเป็นจริง เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่วางไว้เพื่อให้บรรลุสิ่งเหล่านี้ ในบางเกมก็
คล้ายกับสถาน การณ์จริง คือ
ผู้ชนะครอบครองหมด โดยธรรมชาติเกมเหล่านี้มีลักษณะการแข่งขันสูง คือ มีผู้ชนะเพียงคนเดียว
(หมากรุกเป็นตัวอย่างของเกมเหล่านี้) เกมอื่นๆอาจต้องการความร่วมมือเพื่อชัยชนะ ตัวอย่างเช่น เกมวีดีโอที่ออกมาใหม่จำนวน
มากต้องการกลยุทธ์ความร่วม มือจากผู้เล่นหลายคนเพื่อให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งได้รับชัยชนะ ในโลกแห่งความจริงแม้ในช่วง เวลา
การต่อสู้ ส่วนมากคู่ต่อสู้จะมีผลประโยชน์ร่วมกัน และต้องร่วมมือกันในระดับหนึ่ง ช่วง เวลาการทำสงครามเย็น
(Cold War) แม้ความ
ตึงเครียดจะเกิดจากต่อสู้ฝ่ายของ ตะวันตก
- ตะวันออก ที่ทำสงครามตัวแทน เพื่อบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันทั้งมอสโคว์และวอชิงตัน
ต่างร่วมมือกันป้องกันมิให้เกิดสงครามนิวเคลียร์

ทฤษฎีเกมคืออะไร

ทฤษฎีเกมให้เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ตรวจสอบกลยุทธ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของผู้เล่นเกมสองฝ่ายหรือมากกว่าสองฝ่าย โดยการ
ใช้สถานการณ์จำลองทางคณิตศาสตร์แบบง่ายๆ ในการศึกษาความเกี่ยวข้องทางสังคมที่ยุ่งยากซับซ้อนทฤษฎีเกมจะอธิบายให้ทราบถึง
ศักยภาพ และความเสี่ยงที่ควบคู่มากับพฤติกรรมที่ต้องร่วมมือกันในระหว่างคู่แข่งขันที่ไม่ไว้วางใจกันและกัน แม้ว่าเราจะไม่คุ้นเคยเหมือน
เกมที่เล่นบนแผ่นกระดานแบบอื่นๆหรือวีดีโอเกม แต่บท เรียนที่ได้รับจากทฤษฎีเกมมีลักษณะเป็นนามธรรมหรือมีสมมติฐานมากกว่า
สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขสถานการณ์ทางสังคมได้อย่างกว้างขวางมากกว่า

เกมที่เล่นจำลองเหตุการณ์ในชีวิตจริง มีองค์ประกอบ 5 อย่าง ได้แก่

  1. ผู้เล่นหรือผู้ตัดสินใจ
  2. กลยุทธ์ของผู้เล่นแต่ละคน
  3. กฎกติกาที่ใช้ในการควบคุมการตัดสินใจและแสดงพฤติกรรมของผู้เล่นแต่ละคน
  4. ผลคะแนน คะแนนที่ผู้เล่นแต่ละคนได้รับ เนื่องจากตัดสินใจเลือกทางเดิน
  5. การมีส่วนได้ส่วนเสียที่สะสมขึ้นเรื่อยๆของผู้เล่นแต่ละคน เนื่องมาจากคะแนนสะสม

เกมนี้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ผู้เล่นแต่ละคนจะใช้กลยุทธ์ที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จได้คะแนนมากที่สุดในทุกๆ สถานการณ์

ในชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ผู้คนต่างแสวงหาผลประโยชน์โดยให้คนอื่นออกค่าใช้
จ่ายให้ นี่เป็นการกระทำที่นำไปสู่ความขัดแย้งหรือแข่ง ขันกัน มีการใช้เกมอธิบายความสัมพันธ์เหล่านี้ โดยการกำหนดผลประโยชน์
ของผู้เล่นทั้งสองฝ่ายให้ขัดแย้งกัน เมื่อผู้เล่นคนหนึ่งเสียผลประโยชน์มาก ผู้เล่นอีกคนหนึ่งก็เสียผลประโยชน์น้อย เพื่อจะบรรลุผล
ประโยชน์ร่วมกัน ผู้เล่นหลายคนจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ร่วมมือกัน เพราะว่าถ้าหากผู้เล่นแต่ละคนต่างเสี่ยงทุ่มเทให้กับการได้
เสียมาก
ที่สุด คะแนนที่ได้รับจะไม่มาก แนวคิดนี้พิจารณาได้จากสถานการณ์ในเกมการตัดสินใจยากของนักโทษ
(Prisoners Dilemma Game)

เกมนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เกมเหล่านี้จะเน้นให้เห็นถึงความ
ยากลำบากของการได้รับความร่วมมือจากคู่แข่งขันที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะว่าผู้เล่นแต่ละคนต่างก็อยากจะได้ผลประโยชน์มาก
ที่สุด การร่วมมือกันต้อง การให้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน ห้ามใจตนเองมิให้มุ่งหวังจะได้รับประโยชน์สูงสุด และในการ
ประนีประนอมกันผู้เล่นแต่ละคนต้องเสี่ยงกับการสูญเสีย ถ้าหากคู่ต่อสู้ตัดสินใจอยากได้ผลประโยชน์สูงสุด ผู้เล่นมีแนวโน้ม
ชอบเสียน้อยมากกว่าที่จะสูญเสียจนหมดหน้าตัก

ทำไมทฤษฎีเกมจึงมีประโยชน์

สถานการณ์จำลองเหล่านี้จะทำให้ผู้เล่นสามารถหยั่งรู้ในกลยุทธ์ที่เป็นผู้เล่นเกมคนอื่นใช้เป็นทางเลือกและคะแนนที่พวกเขาจะ
ได้รับจากสถานการณ์นั้นๆ การหยั่งรู้นี้ ผู้ตัดสินใจจะสามารถประเมินผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของเขาได้ดี และสามารถตัดสินใจ
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการโดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

ยกตัวอย่างทฤษฎีการยับยั้งฝ่ายตรงกันข้าม ทำให้เกิดยุทธศาสตร์การป้องกันตัวของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
มีสมมติฐานว่าการตอบโต้อย่างรุนแรง แบบตาต่อตาฟันต่อฟันสามารถป้องกันยับยั้งพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้บุกรุกได้ ถ้าหากปัจเจกชน
เชื่อว่าพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจก่อให้เกิดการตอบโต้อย่างรุนแรงจากผู้อื่น ปัจเจกชนผู้นั้นย่อมจะไม่ประพฤติก้าวร้าวรุนแรงต่อผู้อื่น
การข่มขู่ว่าจะตอบโต้โจมตีไม่สามารถลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยตรง แต่การรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความก้าวร้าวจะช่วย
ลดความรุนแรงในสถานการณ์ที่อาจขึ้นเกิดจากการโต้ตอบโจมตีกันลงมา หากปัจเจกชนทั้ง
2 ฝ่ายยอมรับว่าผลประโยชน์สูงสุดที่จะได้
รับเกิดจากการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ความรุนแรงโต้ตอบกัน ไม่มีการอาฆาตมาดร้ายกันและกัน นี่คือแนวทางหลักเบื้องหลังสงครามเย็นระหว่าง
สหรัฐอเมริกากับรัสเซีย

แนวความคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมที่เกิดจากการยับยั้งฝ่ายตรงกันข้ามทำให้เกิดมาตร การควบคุมอาวุธและการร่วมมือกัน
การเน้นความสนใจเรื่องยุทธศาสตร์ทางเลือกและผลตอบ แทนที่จะได้รับ ทฤษฎีเกมอธิบายให้เราเห็นภาพว่าความสัมพันธ์ที่มีศักยภาพ
ในการทำลายล้าง เราสามารถควบคุมจัดการและเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการแข่งขันการสร้างอาวุธ
และการทำสงครามนิวเคลียร์

ตัวอย่างทฤษฎีเกม : สถานการณ์ที่ตัดสินใจยากของนักโทษ

สถานการณ์ที่ตัดสินใจยากของนักโทษที่แสดงให้เห็นในแผนภูมิข้างล่างนี้ เป็นสถานการณ์จำลองที่รู้จักกันดีในทฤษฏีเกม
ทำให้เห็นธรรมชาติที่น่าประหลาดใจในปฏิสัมพันธ์ของผู้เล่นเกมที่ต่างมุ่งผลประโยชน์จากฝ่ายตรงกันข้าม

Game Theory

คำอธิบาย ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจยากของนักโทษ ตัวเลขที่อยู่ในสามเหลี่ยมข้างบน

แต่ละคู่ แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่ผู้เล่นฝ่าย B จะได้รับ และตัวเลขที่อยู่ใน

สามเหลี่ยมข้างล่างเป็นผลประโยชน์ที่ผู้เล่นฝ่าย A จะได้รับ ตัวเลขสูงแสดงให้

เห็นถึงผลประโยชน์มากที่ผู้เล่นจะได้รับ คู่ลำดับความชอบที่เกิดจากทางเลือก

เหล่านี้จะลดลงจาก 4 (ชอบมากที่สุด) ไปหา 1 (ชอบน้อยที่สุด)

ในสถานการณ์สมมตินี้ ผู้ต้องหา 2 คน ในคดีอาญาคดีหนึ่งถูกกุมขัง ความหนักเบาของนักโทษที่จะได้รับไม่ได้ตัดสินจากการ
กระทำความผิดของแต่ละคน แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ร่วมก่อคดีอีกคนหนึ่ง นักโทษสองคนถูกแยกขังและติดต่อกันไม่ได้ นักโทษ
แต่ละคนได้รับข้อเสนอ
4 ข้อ ดังต่อไปนี้

  1. ถ้าหากผู้ต้องหาคนใดรับสารภาพว่าก่ออาชญากรรมจริงและให้การปรักปรำผู้ร่วมก่อคดีอีกคนหนึ่ง เขาจะได้รับการลดโทษ

  2. ถ้าหากผู้ต้องหาคนใดรับสารภาพในขณะที่ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งปฏิเสธ (เช่นผู้ร่วมก่อคดี รักษาสัญญาไม่หักหลังกัน) ผู้ต้องหา
    คนแรกที่ตกลงกับตำรวจจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ตำรวจจะใช้คำให้การของเขาไปใช้เป็นหลักฐานลงโทษผู้ต้องหา
    อีกคนหนึ่งด้วยโทษหนักที่สุด


  3. ถ้าหากนักโทษทั้งสองคนยอมรับสารภาพ (คือทั้งคู่ไม่รักษาสัญญาข้อตกลง) แต่ละคนจะได้รับการลดโทษ แต่ไม่มีใครได้รับ
    การปล่อยตัวเป็นอิสระ


  4. ถ้าหากไม่ผู้ใดรับสารภาพ (คือพวกเขาร่วมมือกันรักษาสัญญา) แต่ละคนจะได้รับโทษน้อยที่สุดเพราะขาดพยานหลักฐาน
    ทางเลือกนี้อาจไม่ดึงดูดใจผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งเท่ากับทางเลือกที่ตกลงร่วมมือกับตำรวจ และได้รับอิสรภาพโดยผู้ต้องหา
    อีกคนหนึ่งต้องได้รับโทษหนักชดใช้ให้ เนื่องจากนักโทษไม่สามารถติดต่อกันคำถามที่ว่า
    จะไว้วางใจอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะไม่รับ
    สารภาพได้หรือไม่
    เป็นประเด็นสำคัญของเกมนี้

  5. แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์จำลองแบบง่ายๆ แต่บทเรียนที่ได้รับสามารถนำไปใช้ใน การตรวจสอบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ เช่น

    **การแข่งขันการสร้างอาวุธ ถ้าหากประเทศสองประเทศที่เป็นศัตรูกันรีบเร่งแข่งขันสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการทำสงคราม
    โดยขาดการควบ คุม พวกเขาก็เพิ่มศักยภาพในการสร้างความสูญเสียและทำลายล้างกัน ในแต่ละประเทศคุณค่าของการสะสม
    อาวุธลดลงเพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการกระทำเช่นนี้ เช่น ค่าใช้จ่ายทางการเงิน การสร้างความตึงเครียดที่เกิดจากการสร้าง
    ความมั่นคง ความสามารถยิ่งใหญ่ในการทำลายล้างกัน เป็นต้น

    **การทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามได้รับประโยชน์น้อยลงจะทำให้ผู้เล่นได้คะแนนน้อยลงเช่นกัน (เช่นได้คะแนน 2/2 ในแผนภูมิข้างบน)
    ทางเลือกของแต่ละประเทศ คือ ร่วมมือกันพัฒนาการควบคุมอาวุธโดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน หรือทำผิดสัญญา
    ข้อตกลงและพัฒนาการสร้างอาวุธ

    **สถานการณ์ที่ตัดสินใจยากนี้เกิดจากความตระหนักที่ว่าถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสร้างอาวุธ (ผิดสัญญา) และอีกฝ่ายหนึ่งไม่สร้าง
    อาวุธ (รักษาสัญญา) ผู้ที่พัฒนาอาวุธได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ที่เข้มแข็งกว่า และอาจชนะเกมการแข่งขัน (ได้คะแนน 4/1)

    **ถ้าหากทั้งคู่รักษาสัญญาคะแนนที่ดีที่สุด คือ เสมอกัน ( 3/3 ) ทางเลือกนี้ดี กว่าการเสียที่เกิดจากต่างคนต่างผิดสัญญา และ
    แข่งขันกันสร้างอาวุธ แต่ไม่ดึงดูดใจเท่าการได้เป็นผู้ชนะดังนั้นความต้องการที่จะให้คู่ต่อสู้ปลดอาวุธจึงมักปรากฏให้เห็นเสมอ
    ความหวาดกลัวที่ว่าฝ่ายตรงกันข้ามจะไม่ยอมทำตามความต้องการนี้ มักจะเป็นแรงผลักดันทำให้ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายติดอาวุธ


    **การไม่ติดอาวุธจะเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้หมดตัวและความสำนึกในประโยชน์ที่จะได้ รับจากการไม่ติดอาวุธจะเกิดขึ้นได้หากฝ่าย
    ตรงกันข้ามสามารถชนะความต้องการอยากชนะของผู้เล่นได้ ในสถานการณ์ระหว่างประเทศจึงไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียเป็นตัวอย่างที่ดี นานแล้วทั้งสองประเทศนี้ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเลย ต่างฝ่ายต่างติด
อาวุธให้ตนเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความหวาดกลัวที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะติดอาวุธ และไม่ต้องการจะเสี่ยงตกเป็นฝ่ายถูกโจมตีอย่างง่าย
ดาย ค่าใช้จ่ายในการแข่งขันกันสร้างอาวุธสูงมากและทำให้สหภาพโซเวียตค่อยๆล้มละลายในที่สุด ในทางตรงกันข้ามน่าจะมีการป้องกัน
การแข่งขันกันสร้างอาวุธ ควรจะประหยัดเงิน ตราจำนวนมากมายมหาศาลที่ใช้จ่ายในสองประเทศนี้ และที่จริงก็เพื่อประโยชน์ของประเทศ
อื่นๆในโลกนี้

บทเรียนที่ได้รับจากเกมการตัดสินใจยากของนักโทษนี้ทำให้เกิดรู้สึกหวาดกลัว เกมนี้แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ แพ้-ชนะ
ซึ่งต้องมีฝ่ายหนึ่งแพ้ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งชนะ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย ผู้เล่นเกมแต่ละคนต้องยึดถือกลยุทธ์ ชนะ ผลลัพธ์ที่ดีที่
สุดอาจจะไม่
ดีนักและที่แย่ที่สุด คือ ไม่พ่ายแพ้จนหมดเนื้อหมดตัว

การสร้างสถานการณ์จำลองที่เหมือนจริงมากขึ้น : เกมการตัดสินใจยากของนักโทษ ภาคขยาย

มีสถานการณ์บางสถานการณ์ในสังคมที่สามารถจำลองได้อย่างถูกต้องโดยอาศัยปฏิสัมพันธ์อย่างเดียวโดดๆ แต่สถานการณ์ส่วนมาก
เกิดจากปฏิสัมพันธ์หลายอย่างที่สั่งสมกันมานาน เงื่อนไขที่กำหนดให้และปฏิสัมพันธ์แบบซ้ำๆ ในภาคขยายของเกมการตัดสินใจยากของ
นักโทษ ซึ่งเพิ่มเติมความน่าจะเป็นในการรักษาคำมั่นสัญญา

ตรรกะเกมการตัดสินใจยากของนักโทษในภาคนี้แนะนำว่า กลยุทธ์ของผู้เล่นเกม (รักษา หรือผิดสัญญา) จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์
ที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ และกลยุทธ์นี้จะมีผลต่อพฤติกรรมของฝ่ายตรงกันข้ามในอนาคต ผลลัพธ์ คือ เกิดความสัมพันธ์ในลักษณะต่างฝ่าย
ต่างตอบแทนอย่างเท่าเทียมกัน ผู้เล่นจะรักษาสัญญาถ้าครั้งก่อนคู่ต่อสู้แสดงให้เห็นว่า เต็มใจจะรักษาสัญญา และจะไม่รักษาสัญญาถ้าหาก
ก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงกันข้ามไม่รักษาสัญญา การรับรู้ว่าเกมการแข่งขันสามารถเล่นใหม่ได้ ทำให้ผู้เล่นเกมพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เนื่อง
จากการกระทำของพวกเขา ครั้งหน้าคู่ต่อสู้อาจจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือไม่รักษาสัญญา ถ้าหากกลยุทธ์ของผู้เล่นมุ่งเน้นจะเอาชนะโดย
ให้ผู้เล่นอีกฝ่ายหนึ่งสูญเสียมากที่สุด

ในการทดลองสร้างสถานการณ์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์ Robert Axelrod อธิบายกลยุทธ์ เอาชนะ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในเกมการตัดสินใจ
ยากของนักโทษด้วยการนิยามศัพท์ว่าเป็นลักษณะ
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (tit-for-tat) กลยุทธ์นี้จะเรียกร้องความร่วมมือในการเดินหมาก
ครั้งแรกและการเดินหมากครั้งต่อๆไป ผู้เล่นจะเลือกกระทำพฤติกรรมแบบเดียวกันกับพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ที่แสดงออกมาในรอบก่อน ไม่มี
สิ่งที่ถูกต้อง หรือวิธีการแก้ไขสถานการณ์ที่ดีที่สุด ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างคิดโดยมีจุดมุ่งหมายไม่เหมือนกัน ในเกมการตัด สินใจยาก
ของนักโทษ การแพ้หนึ่งรอบในเกมการแข่งขันที่มีผู้เล่นสองคน อาจสร้างความเสีย หายให้แก่ผู้เล่นฝ่ายแพ้ และความคิดอยากจะไม่รักษา
สัญญาย่อมเกิดขึ้นเสมอ

ที่มาข้อมูล: http://www.nfe.go.th/dei/img/Doc12.pdf


Step up

จากบทความด้านบน สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้เล่น B จะเลือกวิธีไหนผู้เล่น A ก็ควรจะเลือกที่จะสารภาพเป็นดีที่สุด
ในกรณีที่ผู้เล่น A สามารถที่จะเลือกเพื่อให้ตนได้ประโยชน์สูงสุดโดยที่ไม่ต้องสนใจการตัดสินใจของ ผู้เล่น B นี้เราเรียกว่า ผู้เล่น A
มี ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด (Dominant Strategy) ในกรณีนี้การสารภาพเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของผู้เล่น A และในทางกลับกัน
ไม่ว่าผู้เล่น A จะเลือกวิธีไหน ผู้เล่น B ก็ควรจะสารภาพเพราะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของผู้เล่น B เช่นเดียวกัน

ในอีกด้านหนึ่ง หากผู้เล่นทั้งสองกลัวว่าการสารภาพจะทำให้ตนได้ 3 คะแนน และติดคุกด้วย อาจใช้วิธีเสี่ยงที่จะปิดปากเงียบ
เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับสารภาพด้วยก็จะไค้คะแนนคนละ 2 คะแนนและไม่ต้องติดคุกด้วย อย่างไรก็ตามการตัดสินใจทำอย่างใดอย่าง
หนึ่ง ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับผลเสียหากคาดการณ์การตัดสินใจของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ถูกต้อง เราจึงเรียกสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ว่า
"ทวิบทของนักโทษ" ซึ่งในแวดวงธุรกิจก็มีสภาวะแบบนี้ให้เห็นเป็นประจำ

จุดสำคัญของสภาวะทวิบทของนักโทษนี้ก็คือ การที่ตนเองอาจจะเลือกที่จะทำให้ตนได้ประโยชน์สูงสุด โดยที่ไม่สนว่า
การตัดสินใจแบบนั้น อาจทำให้อีกคนต้องประสบปัญหา
สุดท้ายก็ไม่ทำให้ผู้เล่นคนใดได้ประโยชน์ และการทำให้ตนเองเปลี่ยน
จากภาวะสมดุลไปสู่ภาวะที่ได้ประโยชน์มากขึ้นย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของผู้อื่นในเกมเดียวกันด้วย

และถ้าเปลี่ยนเกมข้างบนจากนักโทษมาเป็นบริษัท A และบริษัท B เปลี่ยนการรักษาสัญญามาเป็น ขึ้นราคา และผิดสัญญา
เป็นลดราคา การที่ทั้งสองบริษัทพากันลดราคาทำให้ทั้งสองบริษัทได้ 2 คะแนน ซึ่งน้อยกว่าการขึ้นราคา ดังนั้นหากทั้งสองบริษัท ร่วมมือ
กันขึ้นราคาย่อมเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของทั้งสองฝ่ายแน่นอน แต่ความเป็นจริงในแวดวงทางธุรกิจมีการแข่งขันกันสูง จึงมีผู้ต้องการแสวง
หาผลประโยชน์ของตัวเองให้ได้มากทีสุด การลดราคาขายสินค้า ขายสินค้าตัดราคา หรือ กีดกันไม่ให้คู่แข่งมีส่วนแบ่งในตลาด ในระยะ
สั้นอาจทำให้บริษัทนั้นได้ 4 คะแนน ในขณะเดียวกันย่อมส่งผลกระทบไปถึงผู้อื่นด้วย

ถ้าฝ่ายที่รับผลกระทบได้ทำการลดราคาตามลงมาด้วย ก็จะทำให้สินค้าหรือบริการของทั้งสองบริษัทมีราคาต่ำลงส่งผลให้มีกำไรน้อย
ต้องทำการลดต้นทุนสินค้าหรือบริการแทน มีผลกระทบไปถึงลูกค้า ลูกค้าบางส่วนอาจหันหนีไปใช้สินค้าอื่นที่มีความใกล้เคียง หรือ
มีผู้ผลิตรายอื่นคิดค้นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาแทนสินค้าตัวนั้น ทำให้สิ้นค้าหรือบริการของบริษัททั้งสองหมดความสำคัญไปเลยก็ได้ ถ้า
ลองมองดูให้ดีในชีวิตประจำวันของเราก็เหมือนกับเรากำลังเล่นเกมอยู่ในทุกรูปแบบ ขึ้นอยู่กับเรานำทฤษฎีเกมไปใช้กับเรื่องอะไร